กำไรอยู่ช่องไหน…ให้ทาย ???

กำไรอยู่ช่องไหน…ให้ทาย ???
อันนี้เอามาโชว์ ไม่ได้จะโชว์ว่าเจ๋งนะ
แค่จะโชว์ว่าเราก็รอด5555

สมมติว่ารายรับทั้งปี 10 ล้าน
เราจะมี df 42% นั่นคือ 4.2 ล้านบาท
เงินเดือนพนักงาน 12% คือ 1.2 ล้านบาท
ค่าอาคารสถานที่ 5% นั่นคือ 5 แสนบาท
ค่าภาษี 3% คือ 3 แสน
ค่าการตลาด 3% คือ 3 แสน
ค่าสาธณูปโภค อีก 5% คือ 5 แสน
ค่าวัสดุทันตกรรม บวก ค่าแลป 18% คือ 1.8 ล้าน
เบ็ดเสร็จเหลือกำไรประมาณ 12% นั่นคือ 1.2 ล้านบาท

อันนี้คือประมาณการรายรับของปีนี้นะคะ
จริงๆผลประกอบการมันก็ใกล้เคียงนี่

แต่ตัวเลขพวกนี้เราไม่ได้ทำไว้เพื่อโชว์ใครต่อใครนะ ตัวเลขพวกนี้มันบ่งบอกอะไรหลายอย่าง แล้วแต่ว่าเราจะใช้มันไปในทางไหน

หลักๆที่เราใช้ก็มี 3 อย่างด้วยกันคือ
1.ใช้ประมาณการรายจ่ายของปีถัดไป ซึ่งอันนี้สำคัญมากกกกกกก……… เพราะเราเคยทำแบบไม่ดูสี่ดูแปด บอกเลยว่าทุนหายกำไรหด ไม่รู้มันหายไปไหนหมด ค่าอะไรที่มันต้องจ่ายแน่ๆ เราก็ประมาณการไว้ได้เลย และควบคุมไม่ให้มันมากเกินไป ลีนองค์อยู่เป็นระยะ ฝังหัวความประหยัด ความคุ้มค่าลงไปในหัวพนักงานเรื่อยๆ แล้วมาควบคุมตัวเลขที่มันวิ่งได้แทน ไม่ได้ว่าต้องควบคุมตัวเลขทุกตัว ก็จะมีเลขที่ต้องดูอยู่ไม่กี่ตัวละ

2. ค่าการตลาดอันนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่งเพิ่มเป็นจริงเป็นจังเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา คือก่อนหน้านี้ มันจะเป็นพวกค่าใช้จ่ายที่เราทำCSR ไม่ได้มีค่าการตลาดแบบค่ายิงแอด หรือทำกราฟฟิกโดยตรง ค่า CSR ก็เวลามีคนมาขอสปอนเซอร์เราก็ให้ไป หรือค่าที่เราไปออกบูธแจกของวันเด็ก ค่าทุนการศึกษาอะไรแบบนี้ คือเรานับเป็นการตลาดของคลินิกนะ แต่ช่วงหลังมันจะมีค่าทำเพจ ยิงแอดเพิ่มเข้ามา ซึ่งอันนี้ก็มีส่วนสำคัญและเราคิดว่ามันจะมีสัดส่วนที่มากขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต

#เพราะมันมีทำเลที่ต้องแย่งชิงกันในโซเชียลมีเดีย เราไม่ยิงแอด เพื่อนยิงเราก็จะเสียพื้นที่ส่วนนี้ให้คู่แข่งไป เค้าอาจจะทำอยู่ที่คลินิกเราก็จริงแหละ แต่เห็นแอดอีกคลินิกนึงทุกวันๆๆๆๆ มันก็ต้องมีไขว้เขวกันบ้าง แล้ววันนึงถ้าเค้าโทรมาแล้วคิวที่เราไม่มีให้เค้าวันนั้นแหละ เค้าจะลองคลินิกใหม่ทันที

😂

ตามหลักการแล้วถ้าอยากกระตุ้นยอดขายก็ต้องเพิ่มงบส่วนนี้ ซึ่งเราก็ยังตอบไม่ได้ว่ามันกระตุ้นได้จริงมั้ย แต่เราก็ไม่กล้าที่จะลดงบส่วนนี้เลย เพราะคลินิกคู่แข่งเราก็ยิงกันถี่เลย แล้วจะมาเล่าให้ฟังทีหลังว่า…ทำไมถึงมายิงแอดนะ

3. ตัวเลขอีกตัวที่เราจะมอนิเตอร์ตลอด และอยากทำให้มันลดลงโดยไม่กระทบกระเทือนฝ่ายใดเลยก็คือ df

สำหรับdf ที่50-60% ถ้าในตอนนี้เราคิดว่ามันสูงเกินไป ต้องยอมรับว่ากการทำคลินิกมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปอย่างที่บอกตัวเลขค่าการตลาดจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นเราต้องกดตัวเลขบางตัวให้มันลดลง

เราสามารถกด df ให้ต่ำลงได้โดยอาจจะเพิ่มค่าบริการหรือค่าสเตอร์ไรด์ หรือเพิ่มค่าของที่ขายเพิ่ม อะไรที่มันไม่เกี่ยวกับ dfอ่ะ เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนกับน้องๆมือปืน ปีที่แล้วเราก็กดลงมาได้ที่ 42%

คือคลินิกใหญ่ๆบางคลินิกเค้ากดตัวเลขตรงนี้ไว้ได้ที่35 % ซึ่งเราว่ามันกำลังดีมากเลย แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยราคาค่าบริการที่ค่อนข้างสูงและการออกแบบบริการให้เริ่ดกว่าชาวบ้านชาวช่องนั่นเอง

หลักๆก็ดูแค่นี้ คือ #เน้นควบคุมรายจ่าย ส่วนกำไรมันจะตามมาเองหลังจากเราควบคุมรายจ่ายได้แล้ว เพราะสิ่งที่เราต้องการคือ #กำไรไม่ใช่ยอดขาย

ส่วนยอดขายนั้นมันควบคุมไม่ได้อ่ะ5555 มันจะตามมาหลังจากเราจัดบริการที่ดีที่สุดให้กับคนไข้ และการเก็บคนไข้ให้หมดไม่ให้พลาดแม้แต่ช่องทางเดียว มีช่องทางไหนบ้างนั่นค่อยมาเล่าสู่กันฟังอีกทีนะ

ใครที่ยังไม่มีตัวเลขพวกนี้แนะนำให้ทำนะ ทำแล้วมันมีประโยชน์มากๆนะ ขึ้นกับว่าเราจะมองเห็นอะไรในตัวเลขนี้บ้าง เรามันจะทำให้เราเหนื่อยหน่อยลงกว่าที่ทำไปแบบไม่รู้อะไรเลย สิ้นปีที่ไม่รู้กำไรอยู่ที่ไหน ไม่รู้จะเพิ่มมันยังไง

ยาวหน่อยแต่…ลองทำดูนะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top